วันที่ 5-6 กรกฎาคม 2568 ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กลายเป็นพื้นที่แห่งความหวังเมื่อเหล่านักศึกษาจาก 11 ทีม รวมพลังกันในกิจกรรม “Hack นโยบายแก้จน” โดยความร่วมมือระหว่างโครงการ Kiddeeidol และคณะรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี กิจกรรมที่ไม่เพียงเปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นสนามทดลอง แต่เปลี่ยน “ความคิด” ให้กลายเป็น “นโยบาย” ที่ลงมือทำได้จริง ภายใต้แนวคิด “การแก้จนเริ่มได้จากคนธรรมดา” นักศึกษารุ่นใหม่เหล่านี้ไม่เพียงแค่เรียนรู้แนวคิดเชิงรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังได้ฝึกฝนการคิดเชิงระบบ การเข้าใจชุมชน และการออกแบบนโยบายอย่างมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการ Design Thinking & Policy Hackathon
นักศึกษาเริ่มต้นจากการระบุปัญหาความยากจนในบริบทจริงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในปัตตานี ซึ่งมีความซับซ้อนทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเหลื่อมล้ำจากโครงสร้างรัฐ ทุกทีมได้รับโจทย์ให้ลงลึกในชุมชนที่สนใจ และตั้งคำถามว่า “อะไรคือรากของความจนที่นี่?” เมื่อได้ฟังเสียงชุมชน นักศึกษาเริ่มตีความข้อมูล วิเคราะห์เชิงโครงสร้าง พร้อมระบุ Stakeholders ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การกำหนด “โจทย์เชิงนโยบาย” ที่แท้จริง หลายทีมพบว่า นโยบายของรัฐมักออกแบบจากส่วนกลาง โดยไม่ฟังเสียงคนพื้นที่ หรือเข้าไม่ถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เยาวชนโชว์พลังไอเดียเปลี่ยนระบบ “นโยบายแก้จน” สู่ความหวังใหม่ของชุมชนชายแดนใต้
เปิดเวที Hackathon สุดเข้ม รัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี ผนึกพลังเยาวชนออกแบบนโยบายจากฐานราก
เวทีประชันไอเดียนโยบาย “Hackathon นโยบายแก้จน” คึกคัก! เมื่อกลุ่มเยาวชน นักศึกษารัฐศาสตร์ และคนรุ่นใหม่จากสามจังหวัดชายแดนใต้ ผนึกพลังระดมสมองออกแบบนโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้าง ผ่านแนวคิด “นโยบายจากชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้ความร่วมมือจาก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และ อบต.สาบัน อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี

โจทย์ใหญ่นโยบายที่ไม่เพียงพอ: เมื่อโอกาสยังไม่เท่าเทียม
เวทีครั้งนี้มุ่งเป้าสำคัญไปที่การวิจัยปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้างในพื้นที่เปราะบาง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งยังคงเผชิญปัจจัยซ้อนเร้น ทั้งการว่างงาน การเข้าถึงแหล่งทุน การศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับตลาด และผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องตกอยู่ในภาวะ “จนซ้ำ จนซ้อน”

เมื่อเยาวชนคือ Policy Designer
หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือการนำเสนอผลงานจากทีม “นักออกแบบนโยบายรุ่นใหม่” กับแนวคิด “ชุมชนมีรายได้…ไม่พึ่งบุญ พึ่งงบได้” ที่พัฒนาแนวนโยบายการจัดตั้งวิสาหกิจให้ชุมชนร่วมบริหารจัดการงบประมาณพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน พร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และภาคประชาสังคมเป็นส่วนหนึ่งของกลไกออกแบบและติดตามนโยบาย
“เราไม่ได้ต้องการแค่สวัสดิการที่รอรับ แต่ต้องการนโยบายที่ให้คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงได้จริง”
— ตัวแทนเยาวชนจากทีมเสนอผลงาน กล่าวบนเวที

Hackathon ที่ไม่จบแค่เวที… แต่ต่อยอดสู่เวทีจริง
หลังเวทีนำเสนอผลงาน มีการระดมความเห็นจากอาจารย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน โดยเสนอให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็น “Policy Incubator” ร่วมกับภาคีในพื้นที่ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำนักงานพัฒนาสังคมฯ และภาคเอกชน เพื่อทดสอบใช้นโยบายที่เยาวชนเสนอในพื้นที่นำร่องจริง

เสียงสะท้อนจากเวที: “ไม่ต้องรอใครเปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนได้”
บรรยากาศเวทีเต็มไปด้วยพลังและความหวังของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนนโยบาย “จากห้องเรียน สู่ชุมชน” อย่างแท้จริง โดยมีข้อเสนอสำคัญ เช่น
• การสร้างกองทุนพัฒนาอาชีพที่บริหารโดยชุมชน
• การใช้พื้นที่สาธารณะเป็นศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมชุมชน
• การเชื่อมมหาวิทยาลัยกับกลุ่มอาชีพในระดับหมู่บ้าน

ต่อไปนี้นโยบายไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองอย่างเดียว
การเปิดเวที Hackathon ครั้งนี้ ไม่เพียงจุดประกายความเข้าใจเรื่อง “นโยบาย” แต่ยังเปลี่ยนมุมมองว่า คนตัวเล็กก็สามารถมีส่วนร่วมออกแบบอนาคตของชุมชนได้ โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นสะพานเชื่อมความรู้ สู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
เสียงสะท้อนจากนักศึกษา
กิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้เพียงสร้าง “แนวนโยบาย” แต่ได้สร้าง “แนวร่วม” ที่ประกอบด้วยพลังของนักศึกษา อาจารย์ ชาวบ้าน และภาคประชาสังคม
นายลุกมาน มะแตหะ กล่าวว่า
“รัฐศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐ แต่คือการเรียนรู้ชีวิตผู้คน เวทีนี้ทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าพวกเขาก็เป็นผู้กำหนดอนาคตสังคมได้”
นางสาวไรยา งะหลีกล่าวในช่วงท้ายว่า
“เรารู้สึกว่าตัวเองมีพลังมากขึ้น เพราะได้เห็นว่าสิ่งที่เราคิด สามารถเปลี่ยนชีวิตของคนจริงๆ ได้”
การเปลี่ยนพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ให้กลายเป็นพื้นที่เปลี่ยนแปลงนโยบาย Kiddeeidol ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี มุ่งหวังว่า Hackathon ครั้งนี้จะไม่จบแค่ในห้องประชุม แต่จะนำไปสู่กระบวนการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่จริง โดยทีมผู้ชนะจะได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายให้ทดลองนำแนวนโยบายไปใช้ในพื้นที่นำร่อง พร้อมทั้งพัฒนาต่อยอดเข้าสู่กระบวนการ “นโยบายระดับท้องถิ่น” ต่อไป